-
ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการใช้จุลินทรีย์ในการเกษตรอินทรีย์
มนุษย์รู้จักการนำเอาจุลินทรีย์มาใช้ในการเกษตรมานับพันปีแล้ว โดยเฉพาะการนำมาใช้ในการแปรรูปผลผลิต การผลิตอาหาร การปรับปรุงบำรุงดิน และการป้องกัน
กำจัดโรคและศัตรูพืช ในช่วง 3 ทศวรรษมานี้ ประเทศไทยได้มีการพัฒนาการใช้จุลินทรีย์ในการเกษตรมากขึ้น ซึ่งอาจจะแยกประเภทของจุลินทรีย์ที่นำมาใช้ในการเกษตรออก
เป็น 5 ประเภท คือ
- ประเภทที่ใช้ในการผลิตอาหาร เช่น เห็ดชนิดต่างๆ
- ประเภทที่ใช้ในการแปรรูปผลผลิต เช่น ยีสต์ เชื้อรา ฯลฯ
- ประเภทที่ใช้ในการปรับปรุงดิน เช่น ไรโซเบียม ไมโคไรซ่า ฯลฯ
- ประเภทที่ใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช เช่น เชื้อ bacillus thuringieneses, เชื้อไวรัส NPV Nuclelar Polyhedrosis Virus, เชื้อราEntomophthora
grylli เป็นต้น
- ประเภทที่ใช้ในการสร้างพลังงาน เช่น จุลินทรีย์ที่ใช้ทำก๊าซชีวภาพ
จะเห็นได้ว่าจุลินทรีย์มีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อมนุษย์มาก โดยเฉพาะในด้านการผลิตอาหารที่ปลอดจากสารเคมีนั้น จุลินทรีย์จะมีบทบาทที่ช่วยทดแทนการใช้สารเคมีได้
มาก หรืออาจจะกล่าวได้ว่าสามารถจะใช้ทดแทนสารเคมีการเกษตรได้อย่างสมบูรณ์แบบทีเดียว ที่กล่าวมานี้มิใช่จะเกินความเป็นจริง เพราะได้พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติมาแล้วดังนี้คือ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเรื่องจุลินทรีย์จากสามาคมเกษตรธรรมชาติเกาหลี อาจารย์ภรณ์ ภูมิพันนา สตรีที่อดีตเคยเป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และเป็นผู้ที่ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ และสติปัญญาของเธอให้กับการเกษตรธรรมชาติ
ให้ชักนำ Mr. Han Kyu Cho เกษตรกรชาวเกาหลีซึ่งเป็นประธานของสมาคมเกษตรธรรมชาติแห่งประเทศเกาหลี (The Korean Natural Farming Association –
KNFA) ให้ได้มีโอกาสมาเสนอความรู้ในเรื่องการใช้จุลินทรีย์พื้นบ้าน (Indigenous Micro-organism-IMO) แก่เกษตรกร นักวิชาการและประชาชนโดยได้จัดการบรรยาย
ขึ้นที่กรมวิชาการเกษตรและสถานที่ต่างๆ ในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม 2540 จากความรู้ที่ได้รับจาก Mr. Cho ในครั้งนั้น กลุ่มของนักวิชาการและเกษตรกรไทยได้นำไปทดลอง
ปฏิบัติทั้งผลิตและใช้ รวมทั้งบางรายสามารถจะผลิตเพื่อจำหน่ายได้ด้วย และด้วยความมหัศจรรย์ของ IMO ในการปรับปรุงบำรุงดิน การทำให้พืชแข็งแรงต้านทานต่อการ
ทำลายของโรคและแมลงศัตรูพืช รวมทั้งการช่วยขจัดสิ่งปฏิกูลทั้งในน้ำและในกองขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เกษตรกรและประชาชนจำนวนมากได้นำไปใช้จากการ
เผยแพร่ของกลุ่มนักวิชาการ และนักปฏิบัติที่ได้ตั้งเป็นชมรมเกษตรธรรมชาติ จนขณะนี้มีผู้นำไปใช้อย่างได้ผลอย่างกว้างขวางในเวลาเพียงสามปีเศษเท่านั้น Koyama, A (1996) ได้รายงานไว้ในวิทยานิพนธ์ว่า Mr. Cho ได้แยกผลิตภัณฑ์ของจุลินทรีย์ พื้นฐานออกเป็น 5 ชนิด คือ
1. จุลินทรีย์พื้นบ้าน (Indigenous Micro-organisms)
สามารถจะเก็บได้จากธรรมชาติโดยใช้ข้าวหุงสุกแล้วใส่จานหรือถาดเกลี่ยให้หนาประมาณ 3 เซนติเมตร ปิดด้วยกระดาษ แล้วนำไปใส่ในกรง เพื่อกันหนูหรือสัตว์
อื่นมากิน แล้วนำไปตั้งทิ้งไว้ใต้ต้นไม้ในป่าละเมาะ หรือภายในกองใบไม้แห้งที่มีผ้าพลาสติกคลุม เพื่อกันฝนและน้ำค้างที่มากเกินไป ทิ้งไว้ 5-6 วัน จะมีราสีขาวขึ้นคลุมหน้า จาก
นั้นให้เทข้าวใส่ในโถกระเบื้องดินเผา ผสมกับน้ำตาลแดงหรือกากน้ำตาล สัดส่วน 1/3 ของน้ำหนักข้าว ส่วนผสมนั้นจะกลายเป็นของเหลวข้นมีจุลินทรีย์เจริญอยู่มากมาย แล้วนำ
ของเหลวนี้ไปผสมกับรำข้าวในสัดส่วนร้อยละ 0.2 ใช้กระสอบป่านคลุมจะเกิดความร้อน ต้องคอยควบคุมไม่ให้ความชื้นเกิดกว่าร้อยละ 65 แต่ถ้าแห้งเกินไปก็ให้พรมน้ำ ทิ้งไว้
2-3 วัน จึงเอาไปคลุกผสมกับปุ๋ยคอก มูลสัตว์ในปริมาณ 30 - 50 เท่า แล้วคลุมไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ ก็จะได้ปุ๋ยหมักสมบูรณ์ นำไปใส่ปรับปรุงดินประมาณ 1 กิโลกรัม /
1ตารางเมตร สำหรับการปลูกผักอินทรีย์
2. น้ำหมักพืช (Fermented Plant Juice-FPJ)
ขณะที่คนไทยเรียกว่าน้ำสกัดชีวภาพ (Bio-Extract-B.E.) ผลิตภัณฑ์นี้ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยาก และมีสรรพคุณที่หลากหลายเช่นเดียวกับสาร อี.เอ็ม. วิธีการก็คือนำ
เศษพืช ถ้าหากเป็นพืชชนิดเดียวกับที่ปลูกอยู่ก็จะดี และไม่จำเป็นต้องเป็นส่วนของพืชที่จะใช้เป็นอาหาร แต่อาจจะเป็นเศษเหลือที่จะทิ้งแล้วก็ได้ ในปริมาณ 3 ส่วนต่อน้ำตาล
ทรายแดงหรือกากน้ำตาล 1 ส่วน สำหรับเศษพืชนั้นควรจะสับให้มีขนาดเล็ก 2-3 นิ้ว แล้วใส่ในภาชนะคลุกเคล้าให้เข้ากันภาชนะไม่จำกัดชนิดและขนาดในสวนผักบางแห่งใช้วง
ซีเมนต์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.0-1.5 เมตร สำหรับทำบ่อส้วม จำนวน 3 วง มาเชื่อมต่อกันเป็นภาชนะ โดยมีทอเปิดด้านล่าง เมื่อหมักได้ที่ ซึ่งจะใช้เวลา 5-7 วันก็จะ
ได้น้ำหมักพืชหรือน้ำสกัดชีวภาพตามต้องการ น้ำหมักพืชนี้จะต้องนำไปเจือจางในน้ำธรรมดาในอัตรา 1:1,000 1 ช้อนแกง (10 ซีซี) ต่อน้ำ 10 ลิตร (1,000 ซีซี) ใช้รดพืชผัก
และใช้รดลงในดินที่ปลูกพืช
3. ซีรั่ม ของจุลินทรีย์ในกรดน้ำนม (Lactic Acid Bacteria Serum, LAS)
เตรียมได้จากการดึงเอาจุลินทรีย์ในอากาศมาอยู่ในน้ำซาวข้าว แล้วจึงนำไปเพาะเลี้ยงในน้ำนมอีกให้เกิดเป็น ซีรั่มของกรดแล็คติค ใช้น้ำหมักนี้ในการพ่นลงบน
ใบพืชให้มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันโรคพืช
4. กรดอะมิโนจากปลา (Fish Amino acid, FAA)
ทำได้จากการนำเอกเศษปลามาผสมกับน้ำตาลทรายแดง อัตราส่วน 1/1 หมักทิ้งไว้ 30 วันหรือนานกว่าก็ได้ (หรืออาจจะใช้กากน้ำตาล) น้ำจากการหมักนี้จะเป็นแหล่งของธาตุไนโตรเจนให้กับพืชอย่างดีเยี่ยม
5. สุราหมักจากข้าวกล้อง (Brown Rice Vinegar)
สุราเกิดจากการหมักของข้าวกล้อง หรือถ้าไม่มีก็น่าจะใช้สุราขาวที่มีขายโดยทั่วไป นำมาผสมน้ำให้เจือจาง ฉีดพ่นบนใบพืชจะทำให้พืชแข็งแรงต้านทานต่อโรค
พืชได้ * เอนไซม์ คือ สารอินทรีย์ที่พืชและสัตว์ รวมทั้งจุลินทรีย์สร้างขึ้นในขบวนการหมัก (fermentation) มีหน้าที่ช่วยในการทำงานของทุกระบบในสิ่งมีชีวิตทั้งหมด สิ่งมีชีวิต จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเอนไซม์ เอนไซม์บางชนิดทำหน้าที่ย่อยอาหารในคนและสัตว์ จุลินทรีย์ผลิตเอนไซม์เพื่อย่อยอินทรียวัตถุให้เป็นสารอินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อ
จุลินทรีย์เองและต้นไม้
* ฮอร์โมน เป็นสารอินทรีย์อีกชนิดหนึ่งที่พืช สัตว์และจุลินทรีย์สร้างขึ้น เพื่อทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของส่วนต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตในคนและสัตว์ ฮอร์โมนในพืช
ชนิดที่เราคุ้นเคยกันดี ได้แก่ จี.เอ. หรือจิบเบอร์เรลลิค (Giberellic) อ๊อคซิน (Auxin) จุลินทรีย์ก็สามารถผลิตฮอร์โมนต่างๆ ได้เช่นเดียวกับพืชและสัตว์ ความเข้าใจต่อบทบาทจุลินทรีย์
จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถพิเศษ สามารถมีชีวิตและขยายพันธุ์ได้โดยอาศัยอินทรียวัตถุเป็นแหล่งอาหาร จุลินทรย์หลายชนิดรวมกันและอาศัยพึ่งพาซึ่งกัน
และกัน จุลินทรีย์มีความหลากหลายของชนิดที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนจัด เย็นจัดหรือแห้งแล้งจัด แตกต่างกันไปตามคุณสมบัติของแต่ละชนิดด้วยเทคนิค
จุลินทรีย์การปลูกพืชอินทรีย์ โดยไม่ต้องพึ่งปุ๋ยเคมี เพราะพืชสามารถสังเคราะห์อาหารได้เองเกือบทั้งหมด ส่วนที่ขาดก็จะได้จากการย่อยสลายของอินทรียวัตถุที่ได้จากซากสัตว์
และพืช รวมทั้งซากของจุลินทรีย์ โดยจุลินทรีย์จะผลิตเอนไซม์ออกมาย่อยสลายอินทรียวัตถุให้เป็นธาตุอาหารสำหรับจุลินทรีย์เองและพืชก็จะได้รับประโยชน์ด้วยจากการดูดเข้า
ไปทางรากในรูปแบบของสารอินทรีย์ต่างๆ เช่น กรดอะมิโน กลูโคส ไวตามิน ฮอร์โมนและแร่ธาตุ เป็นต้น
ประสบการณ์ของคนไทยในการพัฒนาจุลินทรีย์หมักดอง นับตั้งแต่ Mr. Han Kyo Cho ประธานสมาคมเกษตรธรรมชาติแห่งประเทศเกาหลี ได้มาเปิดเผยเคล็ดลับของการใช้จุลินทรีย์ท้องถิ่น (IMO = Indigenous
Micro-organism ในการทำน้ำหมักพืช เมื่อเดือนกรกฎาคม 2540 เป็นต้นมา คนได้ที่ได้รับความรู้ดังกล่าวได้นำไปทดสอบ ทดลอง ปรับปรุง พัฒนากันอย่างกว้างขวาง
บางคนก็เห็นว่าความรู้นี้เป็นประโยชน์มากมายทั้งในด้านการเกษตร การรักษาโรค การบำบัดน้ำเสีย และสิ่งโสโครก ฯลฯ และได้มาฟรี จึงพยายามถ่ายทอดไปให้ผู้อื่นได้มีความรู้
นี้สืบทอดต่อกัน จนแพร่หลายไปทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้ การผลิตน้ำสกัดชีวภาพจากพืช
น้ำสกัดชีวภาพ คือ น้ำที่ได้จากการหมักพืชอวบน้ำ เช่น ผัก ผลไม้ ด้วยน้ำตาลในสภาพไร้อากาศ น้ำที่ได้จะประกอบด้วยจุลินทรีย์ และสารอินทรีย์หลากหลายชนิด
จุลินทรีย์ส่วนใหญ่จะเป็นพวกยีสต์ แบคทีเรียสร้างกรดแลกติก และพวกราแบคทีเรียสังเคราะห์แสงก็เคยพบในน้ำสกัดชีวภาพ
1. วัสดุและอุปกรณ์ 1.1 ถังหมักที่มีฝาปิดสนิท จะเป็นถังพลาสติก ถังโลหะ หรือกระเบื้องเคลือบหรือจะใช้ถุงพลาสติกก็ได้
1.2 น้ำตาล สามารถใช้น้ำตาลได้ทุกชนิด อาจใช้กากน้ำตาล ซึ่งมีราคาถูก
1.3 พืชอวบน้ำทุกชนิด เช่น ผัก ผลไม้ ทั้งแก่และอ่อน ถ้าเก็บจากไร่ – สวน ที่สดจากต้นในเวลาเช้าตรู่ได้เท่าใดก็ยิ่งดี รวมทั้งเปลือกผักผลไม้อวบน้ำที่สดไม่เน่า
เปื่อย เช่น เปลือกแตงโม เปลือกสับปะรด เปลือกขนุน และเปลือกมะม่วง เป็นต้น
1.4 วัสดุมีน้ำหนักใช้ในการกดทับ เช่น อิฐบล็อก หรือก้อนหิน
2. วิธีทำ
2.1 นำพืช ผัก ผลไม้ ตามข้อ 1.3 หั่นหรือสับให้เป็นชิ้นขนาด 1-2 นิ้ว แล้วนำผสมกับน้ำตาลในภาชนะที่เตรียมไว้ในอัตราน้ำตาล 1 ส่วน ต่อพืช ผัก ผลไม้ 3 ส่วน
คลุกให้เข้ากัน หรือถ้ามีปริมาณมากจะโดยทับสลับกันเป็นชั้นๆ ก็ได้ ในกรณีผักผลไม้ที่ใช้หมักเป็นชนิดที่ไม่อวบน้ำ ควรเติมน้ำพอให้อยู่ระดับเดียวกับผัก
ผลไม้ที่อยู่ในภาชนะ
2.2 ใช้วัสดุมีน้ำหนัก ตามข้อ 1.4 วางทับบนพืชผักที่หมัก เพื่อกดไล่อากาศที่อยู่ระหว่างพืชผัก ของหนักที่ใช้ทับควรมีน้ำหนักประมาณ 1 ใน 3 ของน้ำหนักพืช
ผัก วางทับไว้ 1 คืน ก็เอาออกได้
2.3 ปิดภาชนะที่หมักให้สนิทถ้าเป็นถุงพลาสติก ก็มัดปากถุงพลาสติกให้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้อากาศเข้าไปได้ เป็นการสร้างสภาพที่เหมาะสมให้แก่จุลินทรีย์หมัก
ดองลงไปทำงาน
*หมักทิ้งไว้ 3-5 วัน จะมีของเหลวสีน้ำตาลอ่อนถึงแก่ (ขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้และน้ำตาลที่ใช้หมัก) เกิดขึ้นจากการละลายของน้ำตาลและน้ำเลี้ยงจากเซลล์ของ
พืชผักน้ำตาล และน้ำเลี้ยงเป็นอาหารของจุลินทรีย์ จุลินทรีย์หมักดองก็จะเพิ่มปริมาณมากมาย พร้อมกับผลิตสารอินทรีย์หลากหลายชนิด ดังกล่าวข้างต้น
ของเหลวที่ได้เรียกว่า “น้ำสกัดชีวภาพ”
2.4 ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 วัน เมื่อน้ำสกัดชีวภาพมีปริมาณพอประมาณ ก็ถ่ายน้ำสกัดชีวภาพออกบรรจุลงในภาชนะพลาสติก น้ำสกัดชีวภาพที่ถ่ายออกมาใหม่ๆ
กระบวนการหมักยังไม่สมบูรณ์ จะมีก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เกิดขึ้นในภาชนะ ต้องคอยเปิดฝาภาชนะบรรจุทุกวันจนกว่าจะหมดก๊าซ
*ปริมาณของน้ำสกัดชีวภาพที่ได้จากการหมักจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของพืช ผัก ผลไม้ ที่ใช้หมัก ซึ่งจะมีน้ำอยู่ร้อยละ 95-98
2.5 ควรเก็บถังหมักและน้ำสกัดชีวภาพไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกฝนและแสงแดดจัดๆ น้ำสกัดชีวภาพที่ผ่านการหมักสมบูรณ์แล้ว ถ้าปิดฝาสนิทสามารถเก็บไว้ได้
หลายๆ เดือน
2.6 กากที่เหลือจากการหมัก สามารถนำไปฝังเป็นปุ๋ยบริเวณทรงพุ่มของต้นไม้ได้ หรือจะคลุกกับดินหมักเอาไว้ใช้เป็นดินปลูกต้นไม้ก็ได้ ในกรณีต้องการหมักต่อ
โดยใช้กากที่เหลือ อาจจะเติมผักผลไม้ลงไปเพิ่ม พร้อมกับเพิ่มปริมาณน้ำตาลตามสัดส่วน 1:3 ลงไปก็ได้
2.7 น้ำสกัดชีภาพที่มีคุณภาพดี จะมีกลิ่นหมักดอง และมีกลิ่นแอลกอฮอล์บ้าง มากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำตาลและปริมาณผลไม้ที่หมัก ถ้าชิมดูน้ำสกัดชีวภาพ
จะมีรสเปรี้ยว แต่ถ้าหากเกิดกลิ่นเหม็นเน่าเกิดขึ้น แสดงว่าปริมาณน้ำตาลที่ใช้น้อยเกินไป ให้เติมน้ำตาลเพิ่มเข้าไปให้มากขึ้น
3. วิธีใช้ในพืช
3.1 ผสมน้ำสกัดชีวภาพ กับน้ำในอัตรา 1 ส่วนต่อน้ำ 500-1,000 ส่วน (1 ช้อนแกงต่อน้ำ 10 ลิตร) รดต้นไม้หรือฉีดพ่นบนใบ แล้วให้ไหลลงดินรอบต้นไม้ เพื่อ
ให้จุลินทรีย์ลงไปช่วยทำงานในดิน
3.2 ควรทำในตอนเช้าหรือเย็น
3.3 ควรใช้อย่างสม่ำเสมอ และในดินควรมีอินทรียวัตถุอย่างเพียงพอ เช่นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หญ้าแห้ง ใบไม้แห้งและฟาง เป็นต้น
3.4 ใช้ได้กับพืชทุกชนิด น้ำสกัดชีวภาพเจือจางใช้แช่เมล็ดพืชก่อนนำไปเพาะ จะช่วยให้เมล็ดงอกเร็วขึ้น และจะได้ต้นกล้าที่แข็งแรงและสมบูรณ์
ประโยชน์
นอกจากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เช่นจุลินทรีย์ที่ช่วยอินทรียวัตถุ จุลินทรีย์ที่ช่วยกำจัดโรคพืชแล้วในน้ำสกัดชีวภาพยังประกอบด้วยสารอินทรีย์ต่างๆ หลากหลายชนิด
เช่น เอนไซม์ ฮอร์โมน และธาตุอาหารต่างๆ เอนไซม์บางชนิดจะทำหน้าที่ย่อยสลายอินทรียวัตถุให้เป็นสารอินทรีย์ เป็นอาหารของจุลินทรีย์เอง และเป็นอาหารของต้นพืช
อย่างไรก็ตาม ฮอร์โมนหลายชนิดที่จุลินทรีย์สร้างขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อพืชถ้าใช้ในปริมาณเล็กน้อย ถ้าใช้ในปริมาณที่เข้มข้นเกินไปก็อาจจะทำให้ต้นไม้เฉาตายได้ ฉะนั้น
จำเป็นต้องใช้ในอัตราเจือจาง สารอินทรีย์บางชนิดที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นเป็นสารที่เพิ่มความต้านทานให้แก่พืช ทำให้พืชมีความต้านทานต่อโรคและแมลง
การผลิตน้ำสกัดชีวภาพ เพื่อป้องกันและกำจัดศัตรูพืช
น้ำสกัดชีวภาพ ช่วยสร้างความต้านทานแก่พืชเพื่อสู้กับศัตรูพืช ถึงแม้มีโรคและแมลงมารบกวนก็จะไม่เกิดความเสียหาย เนื่องจากพืชมีความแข็งแรงเช่นเดียวกับ
มนุษย์ที่แข็งแรงก็จะไม่เจ็บป่วย อย่างไรก็ตาม น้ำสกัดชีวภาพที่ได้จากการหมักผลไม้ผสมสมุนไพรจะช่วยให้พืชมีความต้านทานต่อศัตรูพืชได้ผลดียิ่งขึ้น
วิธีทำ
1. วิธีทำน้ำสกัดชีวภาพเพื่อป้องกันและรักษาศัตรูพืชก็เช่นเดียวกับการทำน้ำสกัดชีวภาพที่ได้กล่าวมาแล้ว เพียงแต่ใช้ผลไม้หมักทั้งหมด ผลไม้ใช้ได้ทั้งดิบและ
สุก หรือเปลือกผลไม้ถ้าเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ทางยาสมุนไพร เช่น ผลมะม่วงหินพานต์ จะยิ่งดี
2. สมุนไพรที่ต้องการใช้ร่วมกับน้ำสกัดชีวภา ได้แก่ ใบสะเดา ตะไคร้หอม ฟ้าทะลายโจร กระเทียม พริกขี้หนู ว่านหางจระเข้ ขิง ข่า และยาสูบเป็นต้น นำมา
ทุบหรือตำให้แตก ใส่น้ำให้ท่วม หมักไว้ 1 คืน เพื่อสกัดเอาน้ำสมุนไพร นำไปกรองเอาแต่น้ำ
วิธีใช้
- ผสมน้ำสกัดชีวภาพกับน้ำสมุนไพรและน้ำในอัตราน้ำสกัดชีวภาพ 1 ส่วน น้ำสมุนไพร 1 ส่วน และน้ำ 200-500 ส่วน
- ฉีดพ่นต้นพืชให้เปียกทั่ว ควรเริ่มใช้ตั้งแต่ต้นพืชเริ่มงอก ก่อนที่โรคและแมลงจะมารบกวนอย่างต่อเนื่อง
- ควรฉีดพ่นในตอนเช้าหรือเย็น หรือหลังฝนตก การผลิตปุ๋ยน้ำสกัดชีวภาพจากสัตว์น้ำ
ในปัจจุบันมีเศษของสัตว์น้ำที่เป็นอาหารของมนุษย์ และศัตรูพืชเหลือทิ้งให้เป็นขยะที่สร้างกลิ่นรบกวนแก่ผู้ที่อยู่ในบริเวณข้างเคียง และผู้รับผิดชอบต้องเสียค่าใช้
จ่ายในการบำบัดขยะเหล่านั้นอีกมากมายด้วย แต่ถ้าหากได้นำสิ่งเหลือใช้เหล่านั้น มาผ่านขบวนการหมักด้วยน้ำตาลและจุลินทรีย์ที่ดีก็จะเปลี่ยนของเสียเหล่านั้นให้กลายเป็นปุ๋ย
ที่มีประโยชน์
นอกจากนี้สัตว์น้ำบางชนิดที่เป็นศัตรูของพืช เช่น หอยเชอรี่ ศัตรูพืชในนาข้าวที่ทำลายต้นข้าวให้เสียหาย แต่ในปัจจุบันชาวนาที่ฉลาดในหลายๆ ท้องที่ได้นำหอย
เชอรี่มาหมักกับกากน้ำตาลเป็นน้ำหมักชีวภาพใช้ในการบำรุงต้นไม้และช่วยลดการระบาดของโรคและศัตรูพืชได้ดีอีกด้วย วิธีทำ
1. นำปลาหรือเศษปลามาสับให้เป็นชิ้นขนาดประมาณ 1-2 นิ้ว ในกรณีที่ใช้หอยเชอรี่ ให้ทุบหรือบดด้วยเครื่องบด แต่ในบางโอกาสที่ไม่ต้องการเสียเวลาก็อาจ
จะใช้หอยเชอรี่ทั้งตัว โดยไม่ต้องทุบหรือบดก็ได้ แต่การหมักจะต้องใช้เวลานานกว่าปกติ (ไม่ต่ำกว่า 1-2 เดือน)
2. นำปลาหรือหอยเชอรี่ ตามข้อ 1 ผสมกับกากน้ำตาลในอัตราส่วน 1:1 โดยน้ำหนัก ผสมให้เข้ากันดี โดยจะผสมในภาชนะที่จัดไว้ผสมโดยเฉพาะ หรือทำใน
ภาชนะที่ใช้หมักก็ได้ ขนาดบรรจุของภาชนะที่ใช้หมักอาจแตกต่างกันตามต้องการอาจจะเป็นขนาด 20, 50, 100 หรือ 200 ลิตร ก็ได้ตามปริมาณการใช้
ที่ต้องการหลังจากนั้นให้เติมหัวเชื้อน้ำสกัดชีวภาพที่ทำจากสับปะรดในอัตรา 1 ต่อ 10 ของปริมาตรส่วนของผสมของปลากับหอย และน้ำตาลที่คลุกเคล้ากัน
แล้ว ในระหว่างการหมักหากมีกลิ่นเหม็นแสดงว่าใส่น้ำตาลน้อยเกินไป ควรเติมน้ำตาลเข้าไปให้มากขึ้น แล้วกวนให้เข้ากับส่วนผสมเดิมให้คลุกเคล้ากันดี
* อนึ่ง ระหว่างการหมักอาจจะใช้เครื่องเติมอากาศที่ใช้กับตู้ปลาสวยงาม เพื่อให้ออกซิเจนในการหมักเพิ่มอัตราเร็วขึ้น ซึ่งเป็นประสบการณ์ของผู้ที่ผลิตเป็นการ
ค้าที่ทำอยู่ในขณะนี้
3. ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 30 วัน จึงเอาน้ำที่ได้มาผสมน้ำในสัดส่วน 1:500 ถึง 1:1,000 หรือประมาณ 2-3 ช้อนแกง ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดให้เป็นฝอยให้เคลือบใบ
พืช และใส่ลงดินที่โคนต้นพืช การผลิตปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพ
ปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพ คือ ปุ๋ยอินทรีย์ที่ผ่านกระบวนการหมักด้วยจุลินทรีย์ที่มีในน้ำสกัดชีวภาพ จนเกิดการย่อยสลายอินทรียวัตถุโดยจุลินทรีย์อย่างสมบูรณ์ และช่วยใน
การปรับปรุงดิน ย่อยสลายอินทรียวัตถุในดินให้เป็นอาหารแก่พืช
วัสดุทำปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพ - มูลสัตว์แห้งละเอียด 3 ส่วน
- แกลบดำ (ที่ผ่านการเผา) 1 ส่วน
- อินทรียวัตถุอื่นๆ ที่หาได้ง่าย เช่น แกลบ ชานอ้อย ขี้เลื้อย เปลือกถั่วลิสง เปลือกถั่วเขียว และขุยมะพร้าว เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน 3 ส่วน
- รำละเอียด 1 ส่วน
- น้ำสกัดชีวภาพ 1 ส่วน+น้ำตาล 1 ส่วน-น้ำ 100 ส่วน คนจนละลายเข้าด้วยกัน
วิธีทำ - นำวัสดุต่างๆ มากองซ้อนกันเป็นขั้นๆ แล้วคลุกเคล้าจนเข้ากันดี
- เอาส่วนผสมของน้ำสกัดชีวภาพ น้ำตาล และน้ำใส่บัว ราดบนกองวัสดุปุ๋ยหมัก คลุกให้เข้ากันทั่วจนได้ความชื้นพอหมาดๆ อย่าให้แห้งหรือชื้นเกินไป
- หมักกองปุ๋ยหมักไว้ 4-5 วัน ก็นำไปใช้ได้
- วิธีหมักทำได้ 3 วิธี คือ
4.1 เกลี่ยกองปุ๋ยหมักบนซีเมนต์หนาประมาณ 1-2 คืบ คลุมด้วยกระสอบป่านทิ้งไว้ 4-5 วัน ตรวจดูความร้อนในวันที่ 2-3 ถ้าร้อนมากอาจต้องเอากระสอบที่คลุมออก
แล้วกลับกองปุ๋ยเพื่อระบายความร้อน หลังจากนั้นกองปุ๋ยจะค่อยๆ เย็นลง นำลงบรรจุกระสอบเก็บไว้ใช้ต่อไป
4.2 บรรจุปุ๋ยหมักที่คลุกเข้ากันดีแล้วลงในกระสอบปุ๋ยไม่ต้องมัดปากถุง ตั้งทิ้งไว้บนท่อนไม้ หรือไม้กระดานที่สามารถถ่ายเทอากาศใต้พื้นถุงได้ทิ้งไว้ 5-7 วัน
4.3 บรรจุในที่สานด้วยไม้ไผ่ สามารถถ่ายเทความร้อนได้รอบด้าน โดยใช้กระสอบปิดด้านบนไว้ 5-7 วัน
ปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพที่ได้จากการเตรียมดังกล่าว จะประกอบด้วยจุลินทรีย์และสารอินทรีย์ต่างๆ เช่นเดียวกับน้ำสกัดชีวภาพแต่อยู่ในรูปแห้ง ปุ๋ยหมักชีวภาพที่ดีจะมี
กลิ่นของดินที่ไม่เหม็น มีใยสีขาวของเชื้อราเกาะกันเป็นก้อน อุณหภูมิในระหว่างการหมักที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 40-50 องศาเซลเซียส ถ้าหากให้ความชื้นสูงเกินไปจะเกิด
ความร้อนสูงเกินไปด้วย ฉะนั้นความชื้นที่ให้ต้องพอดีประมาณร้อยละ 30 (สังเกตจากการกำวัตถุที่หมักพอจับกันเป็นก้อนไม่เหลวผ่านซอกนิ้วออกมา) ปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพเมื่อ
แห้งดีแล้ว สามารถเก็บไว้ได้นานหลายเดือน โดยเก็บไว้ในที่แห้งในร่ม
วิธีใช้ - ผสมปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพกับดินในแปลงปลูกผักทุกชนิดในอัตรา 1 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร
- พืชผักอายุเกิน 2 เดือน เช่น กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว แตง และฟักทอง ใช้ปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพคลุกกับดินรองก้นหลุมก่อนปลูกกล้าผักประมาณ 1 กำมือ
- ไม้ผลควรรองก้นหลุมด้วยเศษหญ้า ใบไม้แห้ง ฟาง และปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพ 1-2 กิโลกรัม สำหรับไม้ผลที่ปลูกแล้วใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพ แนวทรงพุ่ม 1-2 กำมือต่อ 1 ตารางเมตร แล้วคลุมด้วยหญ้าแห้ง ใบไม้แห้งหรือฟางแล้วรดน้ำสกัดชีวภาพให้ชุ่ม
- ไม้ดอกไม้ประดับ ไม้กระถาง ควรใส่ปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพเดือนละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 กำมือ
การนำปุ๋ยหมักไปใช้อย่างประหยัด และได้ผลอีกวิธีหนึ่งก็คือ ก่อนนำไปใช้ควรผสมปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเสียก่อน ในอัตราส่วนปุ๋ยหมักแห้ง
ชีวภาพ 1 ส่วนต่อปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 10 ส่วน คลุกให้เข้ากันดีแล้วนำไปใช้เช่นเดียวกับการใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกโดยวิธีนี้จะใช้มากเท่าไรก็ไม่เป็นผลเสีย อย่าลืมด้วยว่าเทคนิค
จุลินทรีย์ เราไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกปริมาณมากเช่นที่เราเคยปฏิบัติมาใช้เพียง 1 ใน 4 ก็พอแล้ว หรือขึ้นอยู่กับปริมาณอินทรียวัตถุที่มีอยู่แล้วในดิน ถ้ามีอยู่มากเรา
ก็ใส่แต่น้อย ถ้ามีอยู่น้อยเราก็ใส่มากหน่อยหรือบ่อยหน่อย ตามปกติในการทำปุ๋ยหมักจะต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะได้ปุ๋ยหมักที่ย่อยสลายสมบูรณ์ แต่ถ้าใช้น้ำสกัดชีวภาพ
เป็นตัวเร่งจะได้ปุ๋ยหมักที่สมบูรณ์ภายใน 7-15 วัน
หมายเหตุ ปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพ คือ ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ที่มีการย่อยสลายอินทรียวัตถุอย่างสมบูรณ์ เมื่อใส่ลงดินที่มีความชื้นพอเหมาะ เชื้อจุลินทรีย์จะทำหน้าที่ย่อยสลาย
อินทรียวัตถุในดินให้เป็นสารอินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อต้นไม้ จึงไม่จำเป็นต้องให้ในปริมาณมากๆ แต่ในดินต้องมีอินทรียวัตถุพวกปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หญ้าแห้ง และใบไม้แห้ง
และมีความชื้นอย่างเพียงพอ ต้นพืชจึงจะได้ประโยชน์เต็มที่จากการใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพ ตรงกันข้ามถ้าให้ครั้งละมากเกินไป อาจทำให้ต้นไม้ตายได้ ปริมาณที่พอเหมาะนั้น สำหรับการปลูกโดยทั่วไปจะใช้รองก้นหลุมประมาณ 1 กำมือต่อต้น หรือประมาณ 1 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1-2 ตารางเมตร
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น